วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2559

ระบบเครือข่ายเเละการสื่อสาร

ระบบเครือข่ายและการสื่อสาร


บทบาทของการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์

                 การติดต่อสื่อสารเป็นการพูดคุยหรือส่งข่าวสารกันของมนุษย์ ซึ่งเป็นการแสดงออกด้วยท่าทาง การใช้ภาษาพูดหรือผ่านทางตัวอักษร โดยส่วนใหญ่เป็นการสื่อสารในระยะใกล้ ต่อมาเมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้าขึ้นมีการพัฒนาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับใช้ในการสื่อสาร ทำให้สามารถสื่อสารได้ในระยะไกลและสะดวดรวดเร็วมากขึ้น เช่น โทรเลข โทรศัพท์ และการสื่อสาร
                สำหรับการติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์หลายเครื่องในเวลาเดียวกันที่เรียกว่า ระบบเครือข่าย (network system) มีการพัฒนาให้ดีขึ้นเป็นลำดับ จากในอดีตการใช้งานคอมพิวเตอร์จะเป็นคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ เช่น เมนเฟรม การใช้งานจะมีการเชื่อมต่อไปยังเครื่องปลายทางหรือเทอร์มินัล (terminal) หลายเครื่อง ซึ่งถือว่าเป็นการติดต่อสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์กับเทอร์มินัลในยุคแรก
                ต่อมาเมื่อมีการพัฒนาไมโครคอมพิวเตอร์หรือพีซี ซึ่งมีขีดความสามารถในด้านความเร็วการทำงานสูงขึ้น และมีราคาต่ำลงมากเมื่อเทียบกับคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ทำให้การใช้งานแพร่หลายมากยิ่งขึ้น และมีความต้องการที่จะเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เหล่านั้นเข้าด้วยกัน นอกเหนือจากการเชื่อมต่อเทอร์มินัลเข้ากับคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ และได้มีการกำหนดมาตรฐานกลางที่ใช้ในการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ที่มาจากผู้ผลิตต่างกัน ใช้สามารถติดต่อถึงกันได้ เกิดจากใช้งานระบบเครือข่ายที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการทำงาน เช่น การโอนย้ายข้อมูลระหว่างกัน หรือการใช้ทรัพยากรร่วมกัน ทำให้เกิดความสะดวก และรวดเร็วในการใช้งานมากขึ้น


การสื่อสารข้อมูล

               การสื่อสารข้อมูล หมายถึง การแลกเปลี่ยนข้อมูล/ข่างสารโดยผ่านทางสื่อกลางในการสื่อสาร ซึ่งอาจเป็นสื่อกลางประเภทที่มีสายหรือไร้สายก็ได้ องค์ประกอบพื้นฐานของระบบสื่อสารข้อมูล ประกอบด้วย
              1. ข้อมูล/ข่าวสาร (data/message) คือ ข้อมูลหรือสารสนเทศต่างๆ ที่ต้องการส่งไปยังผู้รับโดยข้อมูล/ข่าวสารอาจประกอบด้วยข้อความ ตัวเลข รูปภาพ เสียง วีดิทัศน์ หรือสื่อผสม
              2. ผู้ส่ง (Sender) คือ คนหรืออุปกรณ์ที่ใช้สำหรับส่งข้อมูล/ข่าวสาร ซึ้งอาจเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ กล้องวีดิทัศน์ เป็นต้น
              3. ผู้รับ (Receiver) คือ คนหรืออุปกรณ์ที่ใช้สำหรับรับข้อมูล/ข่าวสารที่ทางผู้ส่งข้อมูลส่งให้ ซึ้งอาจเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ เป็นต้น
             4.สื่อกลางในการรับส่งข้อมูล (Transmission Media) คือ สิ่งที่ทำหน้าที่ในการรับส่งข้อมูล/ข่าวสารไปยังจุดหมายปลายทาง โดยสื่อกลางในการส่งข้อมูลจะมีทั้งแบบสาย เช่น สายเคเบิล สายยูทีพี สายไฟเบอร์ออพติก และสื่อกลางในการส่งข้อมูลแบบไร้สาย เช่น คลื่นวิทยุ ไมโครเวฟและดาวเทียม
             5. โพรโทคอล (Protocol) คือ กฎเกณฑ์ ระเบียบ หรือข้อปฏิบัติต่างๆ ที่กำหนดขึ้นมาเพื่อเป็นข้อตกลงในการสื่อสารข้อมูลระหว่างผู้รับและผู้ส่ง




ที่มา:http://wassanaict.blogspot.com/p/4.html

องค์ประกอบและหลักการทํางานของคอมพิวเตอร์


องค์ประกอบและหลักการทำงานของคอมพิวเตอร์


                 คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการคำนวณ การเก็บข้อมูล การตัดสินใจ การสร้างงานที่ยุ่งยากซับซ้อนและอื่นๆ ในอดีตคอมพิวเตอร์ถูกนำมาใช้ในงานด้านวิทยาศาสตร์เป็นส่วนใหญ่แต่ปัจจุบันคอมพิวเตอร์ได้พัฒนาและขยายขีดความสามารถสูงขึ้น มีการนำไปประยุกต์ใช้งานในหน่วยงานต่างๆ มากมาย เช่น งานราชการ ธุรกิจ การแพทย์ บันเทิง การทหาร เป็นต้น ซึ่งการเรียนรู้ขั้นตอนการทำงานของคอมพิวเตอร์จะช่วยทำให้เราสามารถเลือกใช้คอมพิวเตอร์ได้ตรงความต้องการและมีประโยชน์มากที่สุด




หลักการทำงานของคอมพิวเตอร์

                  หลักการทำงานของคอมพิวเตอร์จะเป็นไปตามที่โปรแกรมได้กำหนดไว้โดยตัวเครื่อง

คอมพิวเตอร์หรือที่เรียกว่าฮาร์ดแวร์ จะมีส่วนประกอบสำคัญขั้นพื้นฐาน 4 หน่วย คือ

                  1.หน่วยรับข้อมูล (input unit)

                  2.หน่วยประมวลผลกลาง (central processing unit)

                  3.หน่วยความจำ (memory unit)

                 4.หน่วยแสดงผล (output unit)




หน่วยรับข้อมูล (input unit)

                 หน่วยรับข้อมูล (input unit) ทำหน้าที่รับข้อมูลจากผู้ใช้เข้าสู่คอมพิวเตอร์ เช่น ตัวอักษร ตัวเลข สัญลักษณ์ เป็นต้น โดยจะแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบของสัญญาณไฟฟ้าที่คอมพิวเตอร์เข้าใจ นำมาจัดเก็บที่หน่วยความจำหลักและใช้ประมวลผลได้ อุปกรณ์หน่วยรับข้อมูลที่นิยมใช้ในปัจจุบัน มีดังนี้


1.แป้นพิมพ์ (keyboard)
                 ทำหน้าที่รับข้อมูลโดยการกดแป้นพิมพ์ ซึ่งมีลักษณะแป้นพิมพ์ของเครื่องพิมพ์ดีดประกอบด้วยปุ่มสำหรับพิมพ์อักขระ ตัวเลข เรียกใช้ฟังก์ชั่นของซอร์ฟแวร์และควบคุมการทำงานร่วมกับปุ่มอื่นๆ

                            

2.เมาส์ (mouse)

                   เป็นอุปกรณ์รับเข้าที่ใช้เลื่อนตัวชี้ตำแหน่ง ผู้ใช้สามารถบังคับเมาส์เพื่อควบคุมตัวชี้ตำแหน่งไปมาบนจอภาพได้ ปกติตัวชี้ตำแหน่งของเมาส์จะเป็นรูปลูกศร ซึ่งจะเกิดการโต้ตอบระหว่างผู้ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้รวดเร็วกว่าแป้นพิมพ์

   
                                 

3.สแกนเนอร์ (scanner)

                  เป็นอุปกรณ์ที่ใช้หลักการของการส่องแสงไปยังข้อความ สัญลักษณ์ หรือภาพที่ต้องการ ทำสำเนาภาพ จากนั้นข้อมูลที่ถูกอ่านจะถูกแปลงเป็นสัญญาณทางไฟฟ้าและเก็บเป็นไฟล์ภาพ

                                     




4.อุปกรณ์จับภาพ (image capturing devices)

      เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เก็บภาพต้นฉบับในรูปแบบดิจิตอล อุปกรณ์จับภาพมี 2 ชนิด คือ

                 4.1 กล้องถ่ายภาพดิจิตอล

                 4.2 กล้องถ่ายวิดีโอดิจิตอล

                                     


5.อุปกรณ์รับเสียง (audio-input devices)
                   ทำหน้าที่รับข้อมูลเสียงทั้งเสียงพูด เสียงเพลง และเสียงอื่นๆ จากนั้นอุปกรณ์จะแปลงสัญญาณเสียงที่มนุษย์เขาใจให้อยู่ในรูปสัญญาณไฟฟ้า ที่คอมพิวเตอร์นำไปประมวลผลได้

                                       



หน่วยประมวลผลกลาง (central processing unit)
                 หน่วยประมวลผลกลางเรียกอีกอย่างว่า ซีพียูทำหน้าที่ควบคุมการทำงานและประมวลผลข้อมูลที่ได้รับจากอุปกรณ์รับข้อมูลตามคำสั่งต่างๆ ในโปรแกรมที่เตรียมไว้และส่งต่อไปยังอุปกรณ์แสดงผลเพื่อสามารถเก็บหรืออ่านผลลัพธ์ได้หน่วยประมวลผลกลางเปรียบเสมือนเป็นสมองของคอมพิวเตอร์ 
ในการทำหน้าที่ตัดสินใจหรือคำนวณ จากคำสั่งที่ได้รับมา เช่น การเปรียบเทียบ การกระทำการทางคณิตศาสตร์ ฯลฯ

                                            




หน่วยประมวลผลกลาง ประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วน คือ

                     1.หน่วยคำนวณและตรรกะ (Arithmetic & Logical Unit : ALU)

                     2.หน่วยควบคุม (Control Unit)

                     3.หน่วยความจำหลัก (Main Memory)



หน่วยความจำ (memory unit)
                    หน่วยความจำ (Memory Unit) เป็นที่เก็บโปรแกรมข้อมูลและผลลัพธ์ไว้ในคอมพิวเตอร์ รวมถึงสื่อข้อมูลที่ช่วยในการจดจำ เช่น แผ่นบันทึกข้อมูล หน่วยความจำแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
                       1.หน่วยความจำหลัก (Main Memory Unit)

                       2.หน่วยความจำสำรอง (Secondary Storage)


หน่วยความจำหลัก (Main Memory Unit)
                    อยู่ภายในตัวเครื่องจะทำงานเชื่อมต่อกับหน่วยประมวลผลกลางและหน่วยประมวลผลกลางสามารถใช้งานได้โดยตรงหน่วยความจำชนิดนี้จะเก็บข้อมูลและชุดคำสั่งในระหว่างการประมวลผลและมีกระแสไฟฟ้าสารกึ่งตัวนำหน่วยความจำชนิดนี้มีขนาดเล็กราคาถูกและสามารถให้หน่วยประมวลผลกลางนำข้อมูลมาเก็บ และเรียกค้นได้อย่างรวดเร็วหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์ประกอบด้วยวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่รับและส่งสัญญาณไฟฟ้าในรูปแบบของรหัส ความจุไม่ใหญ่มาก นักโดยมีหน้าที่สำคัญ คือ เรียกใช้และเก็บชุดคำสั่งต่างๆ ที่ใช้ในการประมวลจากหน่วยความจำสำรอง


หน่วยความจำหลักแบ่งตามสภาพการใช้งานเป็น 2 ประเภท แบ่งออกเป็น


- ROM (Read Only memory)


หมายถึงหน่วยความจำที่จะถูกอ่านได้อย่างเดียวเท่านั้น โดยจะเก็บคำสั่งหรือโปรแกรมไว้อย่างถาวร แม้ปิดเครื่องก็จะไม่ถูกลบไม่ต้องไฟฟ้าเลี้ยง




- RAM (Random access memory)
              หมายถึงหน่วยความจำที่ใช้ในการจดจำข้อมูลหรือคำสั่งขณะที่เครื่องทำงานความจำประเภทนี้ต้องอาศัยไฟฟ้าในการทำงานเพื่อไม่ให้ข้อมูลสูญหาย ซึ่งหากไฟฟ้าดับข้อมูลที่อยู่ในหน่วยความจำจะหายไป



หน่วยความจำสำรอง (Secondary Storage)

                 เปรียบเสมือนสมุดบันทึกสำหรับเก็บโปรแกรมและข้อมูลไว้ใช้ใน โอกาสต่อไป หน่วยความจำสำรองหรือหน่วยความจำรอง (Secondary Storage Unit) ทำหน้าที่เก็บข้อมูลตามคำสั่งของผู้ใช้ ซึ่งจะมีพื้นที่หรือความจุมากกว่าหน่วยความจำหลัก ลักษณะในการเก็บข้อมูลจะเป็นแบบถาวร คือ ข้อมูลจะไม่สูญหายไปเมื่อไม่มีกระแสไฟฟ้าหรือปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ จึงเหมาะสำหรับการเก็บข้อมูลที่มีขนาดใหญ่และเก็บข้อมูลไว้ใช้ในภายหลัง ฮาร์ดแวร์ที่ทำหน้าที่ในหน่วยความจำสำรองที่ใช้ในปัจจุบันมีหลายประเภท

                                                     
        ฮาร์ดดิสก์


                                                      
 ออปติคัลดิสก์


                                              
เอ็กซ์เทอร์นอล

                                  

แฟลชไดร์ฟ


หน่วยแสดงผล (output unit)

           หน่วยแสดงผล (output unit) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการแสดงผลลัพธ์หรือสารสนเทศที่ผ่านการประมวลผลโดยจะแปลงผลลัพธ์จากสัญญาณไฟฟ้าของเครื่องคอมพิวเตอร์ให้กลายเป็นรูปแบบที่มนุษย์เข้าใจได้ เช่น ตัวอักษร ตัวเลข สัญลักษณ์พิเศษ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว และเสียง เป็นต้น
อุปกรณ์หน่วยแสดงผลที่นิยมใช้ในปัจจุบันมีดังนี้

1.จอภาพ (monitor)

          เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการแสดงผลลัพธ์ในรูปแบบตัวอักษร ตัวเลข ภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวได้ในขณะที่เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์เท่านั้นแต่เมื่อปิดเครื่องคอมพิวเตอร์จะไม่สามารถเห็นผลลัพธ์ได้

                                                   



2.เครื่องพิมพ์ (printer)

              เป็นอุปกรณ์ที่แสดงผลลัพธ์ในรูปข้อมูล รายงาน รูปภาพลงบนกระดาษ ซึ่งสามารถสัมผัสและเก็บรักษาไว้ได้นาน

                                             


3.ลำโพง (speaker) 

           เป็นอุปกรณ์ที่แสดงผลลัพธ์รูปแบบเสียง


                                           




ที่มา : https://sites.google.com/site/intechnology58/t1

วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2559

HTML


HTML


การใช้งาน

          ในบทที่แล้วเราได้ลองเขียน HTML กันดูบ้างแล้ว ในบทนี้เราจะลงรายละเอียดคำสั่งของ HTML โดยการใช้งานหลักจะมีดังนี้ 

1. คำสั่ง หรือ Tag

            Tag เป็นลักษณะเฉพาะของภาษา HTML ใช้ในการระบุรูปแบบคำสั่ง หรือการลงรหัสคำสั่ง HTML ภายในเครื่องหมาย less-than bracket ( < ) และ greater-than bracket ( > ) โดยที่ Tag HTML แบ่งได้ 2 ลักษณะ คือ 

                        Tag เดี่ยว เป็น Tag ที่ไม่ต้องมีการปิดรหัส เช่น <HR>, <BR> เป็นต้น

                        Tag เปิด/ปิด รูปแบบของ tag นี้จะเป็นแบบ <tag> .... </tag> โดยที่ 

                        <tag> เราเรียกว่า tag เปิด

                        </tag> เราเรียกว่า tag ปิด


2. Attributes

            Attributes เป็นตัวบอกรายละเอียดของ tag นั้นเช่น <span align = 'left'> ... </span> เป็นการบอกว่าให้อักษรที่อยู่ใน tag นี้ชิดซ้าย


3. not case sensitive 

             หมายถึง คุณจะพิมพ์ <BR> หรือ <br> ก็ได้ ผลลัพธ์ออกมาไม่ต่างกัน



โครงสร้างของหลักของ HTML 

           โครงสร้างหลักของ HTML ก็จะเริ่มด้วย <html> และจบด้วย </html> เสมอ ซึ่งชุดคำสั่งที่ใช้จะแยกเป็น 2 ส่วนคือ 

              1. head คำสั่งที่อยู่ในส่วนนี้จะใช้บรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับ web page ซึ่งจะไม่แสดงผลที่ web page โดยตรง

            2. body คำสั่งที่อยู่ในส่วนนี้จะใช้ในการจัดรูปแบบตัวอักษร จัดหน้า ใส่รูปภาพ ซึ่งตัวอักษรในส่วนนี้จะแสดงที่ web brower โดยตรง


                         <html>

                         <head>

                         คำสั่งในหัวข้อของ head 

                         </head>

                         <body>

                         คำสั่งในหัวข้อของ body ในส่วนนี้จะเป็นส่วนที่ใช้แสดงผล 

                         </body>

                         </html>




1. คำสั่งในหัวข้อของ head (Head Section)

               Head Section เป็นส่วนที่ใช้อธิบายเกี่ยวกับข้อมูลเฉพาะของหน้าเว็บนั้นๆ เช่น ชื่อเรื่องของหน้าเว็บ (Title), ชื่อผู้จัดทำเว็บ (Author), คีย์เวิร์ดสำหรับการค้นหา (Keyword) โดยมี Tag สำคัญ คือ


                          <HEAD>

                         <TITLE>ข้อความอธิบายชื่อเรื่องของเว็บ</TITLE>

                         <META HTTP-EQUIV="Content-Type" CONTENT="text/html; charset=utf-8">

                         <META NAME="Author" CONTENT="ชื่อผู้พัฒนาเว็บ">

                         <META NAME="KeyWords" CONTENT="ข้อความ 1, ข้อความ 2 ">

                         </HEAD>




TITLE

           ข้อความที่ใช้เป็น TITLE ไม่ควรพิมพ์เกิน 64 ตัวอักษร, ไม่ต้องใส่ลักษณะพิเศษ เช่น ตัวหนา, เอียง หรือสี โดยข้อความในส่วนนี้จะแสดงผลใน title bar ของ web browser 

META

            Tag META จะไม่ปรากฏผลบนเบราเซอร์ แต่จะเป็นส่วนสำคัญ ในการจัดอันดับบัญชีเว็บ สำหรับผู้ให้บริการสืบค้นเว็บ (Search Engine เช่น google , yahoo) 

             charset=TIS-620 ใช้บอกว่าใช้ชุดตัวอักษรแบบใดในการแสดงผล ภาษาไทยเราใช้ charset=TIS-620 หรืออาจเป็น charset=windows-874 ก็ได้ ตอนนี้แนะนำให้ใช้เป็น charset=utf-8 

           keyword ดังภาพด้านบนจะเห็นว่าเราสามารถใช่ keywords มากกว่า 1 คำได้โดยใช้เครื่องหมาย (,) ในการคั่นระหว่างคำ 

            การพิมพ์ชุดคำสั่ง HTML สามารถพิมพ์ได้ทั้งตัวพิมพ์เล็ก ตัวพิมพ์ใหญ่ หรือผสม การย่อหน้า เว้นบรรทัด หรือช่องว่าง สามารถกระทำได้อิสระ โปรแกรมเบราเซอร์จะไม่สนใจเกี่ยวกับระยะเว้นบรรทัดหรือย่อหน้า หรือช่องว่าง 



2. คำสั่งในส่วนของ (Body Section)

             Body Section เป็นส่วนเนื้อหาหลักของหน้าเว็บ ซึ่งการแสดงผลจะต้องใช้ Tag จำนวนมาก ขึ้นอยู่กับลักษณะของข้อมูล เช่น ข้อความ, รูปภาพ, เสียง, วีดิโอ หรือไฟล์ต่างๆ 

       ส่วนเนื้อหาเอกสารเว็บ เป็นส่วนการทำงานหลักของหน้าเว็บ ประกอบด้วย Tag มากมายตามลักษณะของข้อมูล ที่ต้องการนำเสนอ การป้อนคำสั่งในส่วนนี้ ไม่มีข้อจำกัดสามารถป้อนติดกัน หรือ 1 บรรทัดต่อ 1 คำสั่งก็ได้ แต่มักจะยึดรูปแบบที่อ่านง่าย คือ การทำย่อหน้าในชุดคำสั่งที่เกี่ยวข้องกัน ทั้งนี้ให้ป้อนคำสั่งทั้งหมดภายใต้ Tag <BODY> </BODY> และแบ่งกลุ่มคำสั่งได้ดังนี้ 

                       กลุ่มคำสั่งเกี่ยวกับการจัดรูปแบบเอกสาร 

                       กลุ่มคำสั่งจัดแต่ง/ควบคุมรูปแบบตัวอักษร 

                       กลุ่มคำสั่งการทำเอกสารแบบรายการ (List) 

                       กลุ่มคำสั่งเกี่ยวกับการทำลิงค์ 

                       กลุ่มคำสั่งจัดการรูปภาพ 

                      กลุ่มคำสั่งจัดการตาราง (Table) 

                      กลุ่มคำสั่งควบคุมเฟรม 

                     กลุ่มคำสั่งอื่นๆ




วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

องค์ประกอบของระบบสารสนเทศ

องค์ประกอบของระบบสารสนเทศ


1. ฮาร์ดแวร์          


         ฮาร์ดแวร์เป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบสารสนเทศ หมายถึง เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์รอบข้าง รวมทั้งอุปกรณ์สื่อสารสำหรับเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้าเป็นเครือข่าย เช่น เครื่องพิมพ์ เครื่องกราดตรวจเมื่อพิจารณาเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถแบ่งเป็น 3 หน่วย คือ
              - หน่วยรับข้อมูล (input unit) ได้แก่ แผงแป้นอักขระ เมาส์
              - หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit : CPU)
              - หน่วยแสดงผล (output unit) ได้แก่ จอภาพ เครื่องพิมพ์



2 . ซอฟต์แวร์

           ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็นองค์ประกอบที่สำคัญประการที่สอง ซึ่งก็คือลำดับขั้นตอนของคำสั่งที่จะสั่งงานให้ฮาร์ดแวร์ทำงาน เพื่อประมวลผลข้อมูลให้ได้ผลลัพธ์ตามความต้องการของการใช้งาน ในปัจจุบันมีซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติงาน ซอฟต์แวร์ควบคุมระบบงาน ซอฟต์แวร์สำเร็จ และซอฟต์แวร์ประยุกต์สำหรับงานต่างๆ ลักษณะการใช้งานของซอฟต์แวร์ก่อนหน้านี้ ผู้ใช้จะต้องติดต่อใช้งานโดยใช้ข้อความเป็นหลัก แต่ในปัจจุบันซอฟต์แวร์มีลักษณะการใช้งานที่ง่ายขึ้น โดยมีรูปแบบการติดต่อที่สื่อความหมายให้เข้าใจง่าย เช่น มีส่วนประสานกราฟิกกับผู้ใช้ที่เรียกว่า กุย (Graphical User Interface : GUI) ส่วนซอฟต์แวร์สำเร็จที่มีใช้ในท้องตลาดทำให้การใช้งานคอมพิวเตอร์ในระดับบุคคลเป็นไปอย่างกว้างขวาง และเริ่มมีลักษณะส่งเสริมการทำงานของกลุ่มมากขึ้น ส่วนงานในระดับองค์กรส่วนใหญ่มักจะมีการพัฒนาระบบตามความต้องการโดยการว่าจ้าง หรือโดยนักคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในฝ่ายคอมพิวเตอร์ขององค์กร เป็นต้น

            ซอฟต์แวร์ คือ ชุดคำสั่งที่สั่งงานคอมพิวเตอร์ แบ่งออกได้หลายประเภท เช่น
                1. ซอฟต์แวร์ระบบ คือ ซอฟต์แวร์ที่ใช้จัดการกับระบบคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ต่างๆ ที่มีอยู่ในระบบ เช่น ระบบปฏิบัติการวินโดว์ส ระบบปฏิบัติการดอส ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์
                 2. ซอฟต์แวร์ประยุกต์ คือ ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้งานด้านต่างๆ ตามความต้องการของผู้ใช้ เช่น ซอฟต์แวร์กราฟิก ซอฟต์แวร์ประมวลคำ ซอฟต์แวร์ตารางทำงาน ซอฟต์แวร์นำเสนอข้อมูล
                          


3. ข้อมูล

               ข้อมูล เป็นองค์ประกอบที่สำคัญอีกประการหนึ่งของระบบสารสนเทศ อาจจะเป็นตัวชี้ความสำเร็จหรือความล้มเหลวของระบบได้ เนื่องจากจะต้องมีการเก็บข้อมูลจากแหล่งกำเนิด ข้อมูลจะต้องมีความถูกต้อง มีการกลั่นกรองและตรวจสอบแล้วเท่านั้นจึงจะมีประโยชน์ ข้อมูลจำเป็นจะต้องมีมาตรฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้งานในระดับกลุ่มหรือระดับองค์กร ข้อมูลต้องมีโครงสร้างในการจัดเก็บที่เป็นระบบระเบียบเพื่อการสืบค้นที่รวดเร็วมีประสิทธิภาพ


4. บุคลากร

             บุคลากรในระดับผู้ใช้ ผู้บริหาร ผู้พัฒนาระบบ นักวิเคราะห์ระบบ และนักเขียนโปรแกรม เป็นองค์ประกอบสำคัญในความสำเร็จของระบบสารสนเทศ บุคลากรมีความรู้ความสามารถทางคอมพิวเตอร์มากเท่าใดโอกาสที่จะใช้งานระบบสารสนเทศและระบบคอมพิวเตอร์ได้เต็มศักยภาพและคุ้มค่ายิ่งมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะระบบสารสนเทศในระดับบุคคลซึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์มีขีดความสามารถมากขึ้น ทำให้ผู้ใช้มีโอกาสพัฒนาความสามารถของตนเองและพัฒนาระบบงานได้เองตามความต้องการ สำหรับระบบสารสนเทศในระดับกลุ่มและองค์กรที่มีความซับซ้อนจะต้องใช้บุคลากรในสาขาคอมพิวเตอร์โดยตรงมาพัฒนาและดูแลระบบงาน


5. ขั้นตอนการปฏิบัติงาน

              ขั้นตอนการปฏิบัติงานที่ชัดเจนของผู้ใช้หรือของบุคลากรที่เกี่ยวข้องก็เป็นเรื่องสำคัญอีกประการหนึ่ง เมื่อได้พัฒนาระบบงานแล้วจำเป็นต้องปฏิบัติงานตามลำดับขั้นตอนในขณะที่ใช้งานก็จำเป็นต้องคำนึงถึงลำดับขั้นตอนการปฏิบัติของคนและความสัมพันธ์กับเครื่อง ทั้งในกรณีปกติและกรณีฉุกเฉิน เช่น ขั้นตอนการบันทึกข้อมูล ขั้นตอนการประมวลผล ขั้นตอนปฏิบัติเมื่อเครื่องชำรุดหรือข้อมูลสูญหาย และขั้นตอนการทำสำเนาข้อมูลสำรองเพื่อความปลอดภัย เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะต้องมีการซักซ้อม มีการเตรียมการ และการทำเอกสารคู่มือการใช้งานที่ชัดเจน




ที่มา : https://sites.google.com/site/mju5303103351cs203/xngkh-prakxb-khxng-rabb-sarsnthes-prakxb-dwy-xari-bang-cng-xthibayxb-dwy-xari-bang-cng-xthibay










วันพุธที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

Responsive Web คืออะไร?

Responsive Web



            ในปัจจุบัน Mobile Internet Users ได้มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีแนวโน้มที่จะแซง Desktop Internet Users ในปี 2013 อีกด้วย ซึ่ง Mobile Devices นั้นมีความหลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็น ขนาดและความละเอียดของหน้าจอแสดงผล(screen size and resolution) แนวของการแสดงผล(orientation) หรือแม้แต่ระบบปฏิบัติการ(OS)


              ถ้าเป็นสมัยก่อน เราต้องทำเว็บไซต์ออกมาหลายๆ version เช่น Desktop version กับ Mobile version เพื่อให้เว็บไซต์ของเรา สามารถแสดงผลได้อย่างเหมาะสมกับ Device นั้นๆ ซึ่งวิธีนี้จะทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น ทั้งในด้านเวลาและค่าจ้างในการพัฒนา


                Responsive Web คือ การออกแบบเว็บไซต์ด้วยแนวคิดใหม่ ที่จะทำให้เว็บไซต์ สามารถแสดงผลได้อย่างเหมาะสม บนอุปกรณ์ที่แตกต่างกัน โดยใช้ โค้ดร่วมกัน URL เดียวกัน เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว



หลักการของ Responsive Web

                การจะทำ Responsive Web Design มักใช้เทคนิคหลายๆ อย่าง ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น Fluid Grid, Flexible Images และ CSS3 Media Queries


                 เริ่มแรกคือการทำ Fluid Grid ซึ่งก็คือการออกแบบ Grid ให้เป็นแบบ Relative ซึ่งก็คือการที่ไม่ได้กำหนดขนาดของ Grid แบบตายตัว แต่จะกำหนดให้สัมพันธ์กับสิ่งอื่นๆ เช่น กำหนดความกว้างแบบเป็น % หรือการใช้ font-size หน่วยเป็น em เป็นต้น


                   ต่อมาคือการทำ Flexible Images หรือการกำหนดขนาดของ Images ต่างๆ ให้มีความสัมพันธ์กับขนาดของหน้าจอแสดงผล หากรูปต้นฉบับมีขนาดใหญ่มาก เวลาแสดงในมือถือที่มีจอขนาดเล็ก ก็ควรลดขนาดลงมา เพื่อให้แสดงผลได้อย่างสวยงาม เป็นต้น


                    สุดท้ายคือการใช้ CSS3 Media Queries ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถกำหนด style sheets สำหรับ Devices ต่างๆ ได้ โดยส่วนใหญ่ เราจะเขียน style sheets พื้นฐานเอาไว้ ซึ่งกลุ่มนี้ จะไม่ขึ้นอยู่กับ Devices ใดๆ หลังจากนั้นให้เราเขียน style sheets สำหรับ Devices ที่มีขนาดหน้าจอที่เล็กสุด เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงขนาดใหญ่สุด ซึ่งการเขียนแบบนี้ จะช่วยลดความซ้ำซ้อนของโค้ด และยังทำให้การแก้โค้ดในภายหลังทำได้ง่ายอีกด้วย


ข้อเสียของ Responsive Web

                อย่างไรก็ตาม Responsive Web ก็ยังมีข้อเสียอยู่บ้าง เนื่องจากการเขียนโค้ดเดียว ให้รองรับหลายๆ Devices จึงอาจทำให้เกิดปัญหา เช่น โทรศัพท์มือถือที่มีหน้าจอขนาดเล็ก ถึงแม้เราจะซ่อนเนื้อหาบางส่วนที่ไม่จำเป็นเอาไว้ เช่น โฆษณา แต่ในบางเว็บบราวเซอร์ ข้อมูลเหล่านี้ยังจะถูกโหลดเข้ามาอยู่ รวมไปถึงเรื่องของ Image Resizing ที่เราไม่ได้ไปลด File Size ของตัว Image จริงๆ ทำให้โทรศัพท์มือถือจำเป็นต้องโหลดรูปเดียวกับรูปที่ใช้แสดงบน Desktop ทำให้เสียเวลาโดยไม่จำเป็น




ที่มา : http://www.siamhtml.com/responsive-web-design-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3/

วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

10.ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการออกแบบ (3มิติ)

ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการออกแบบ (3มิติ)


                  ตัวอย่างโปรแกรมออกแบบงาน 3 มิติ โปรแกรม 3D Studio MAX R2 เป็นโปรแกรมยอดนิยมในเครื่องคอมพิวเตอร์พีซี มีการใช้งานอย่างแพร่หลาย และจำนวนผู้ใช้มีจำนวนเพิ่มมาขึ้น เนื่องจากเป็นโปรแกรมที่ไม่ต้องการความสามารถของเครื่องมากนั้น มีคำสั่งมากมาย และใช้งานได้ไม่ยากนัก ประสิทธิภาพจัดอยู่ในขั้นสูง สามารถทำภาพ 3 มิติ และแอนิเมชั่นที่มีคุณภาพดีได้ และตัวโปรแกรมเองยังเปิดให้ผู้พัฒนารายอื่น ๆ สร้างโปรแกรมเสริมประเภท Plug-in ให้กับโปรแกรม 3D Studio MAX เป็นจำนวนมาก [[57518]] โปรแกรม Softmage 3.7 for NT เป็นโปรแกรม 3 มิติ ระดับไฮเอนด์ (High End) โปรแกรมหนึ่งที่มีผู้ใช้งานกันมากในระดับอาชีพ โดยเฉพาะงานประเภทแอนิเมชันทางด้านการโฆษณา โทรทัศน์ ภาพยนตร์ การ์ตูน และเกม แต่โปรแกรมนี้ยังต้องการเครื่องมือที่มีคุณภาพสูง ถึงแม้ว่าจะทำงานบนเครื่องพีซีได้ก็ตาม แต่ควรมีเครื่องที่มีประสิทธิภาพสูงสุดเท่าที่จะหาได้ Display card ที่ใช้ต้อง Support Open GL ด้วย ขนาดของ RAM ไม่ต่ำกว่า 128 MB ข้อดีของโปรแกรมนี้ มีอยู่หลายด้านด้วยกัน เช่น มีหลายแพลตฟอร์ม คือ สามารถใช้ได้ทั้งเครื่องพีซี และเครื่อง Silicon Graphic คำสั่งที่เป็นลักษณะเด่นในโปรแกรมนี้ คือ Actor Module และ IK Dynamic Simulations และ Mental Ray Shading ซึ่งจะทำให้ภาพที่ได้จากการ Render ออกมามีคุณภาพสูง โดยใช้เทคนิค Ray Tracing, Paint Dialogs ซึ่งจะมีเครื่องมือสำหรับแก้ไข UV Texture และ 3D Paint ซึ่งเหมาะสมสำหรับผู้สร้างรูปร่างต่าง ๆ ในวิดีโอเกม การควบคุมฉากที่ซับซ้อนทำได้ง่ายขึ้น ด้วยการใช้ Viewport ที่มีลักษณะคล้าย Spread sheet และ Expression , Channels ใช้ควบคุมการเคลื่อนไหวของวัตถุต่าง ๆ ได้มากขึ้นกว่าเดิม โปรแกรมที่เป็น Plug-in ของ SoftImage มีอยู่หลายอันที่มีชื่อเสียง และใช้งานในอาชีพต่าง ๆ เช่น ToonZ ที่ใช้ในการสร้างเซลล์แอนิเมชันในภาพยนตร์การ์ตูน เรื่อง Anastasia ของ Walt Disney [[57520]] โปรแกรม Bryce 3D v 3.0 เป็นโปรแกรมสำหรับสร้างภาพภูมิทัศน์ (Landscape) ในโปรแกรมมีเครื่องมือในการสร้างภาพภูเขา ทะเล ท้องฟ้า ก้อนเมฆ ต้นไม้ การใช้งานค่อนข้างง่าย ใช้เวลาสร้างไม่มาก User’s interface เป็นแบบกราฟิกทั้งหมด นอกจากใช้ในการสร้างภาพเพื่อเลียนแบบธรรมชาติแล้ว ยังสามารถใช้ในการสร้างภาพในจินตนาการได้ด้วย เช่น บรรยากาศบนดวงดาวต่าง ๆ




9.ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการออกแบบ(2มิติ)

ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการออกแบบ(2มิติ)

                                   

             โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบกราฟิก 2 มิติ (2D Graphics) แบ่งได้เป็น 3 ประเภทโปรแกรม คือ


                    1. โปรแกรมการวาดเขียน (Paint and Draw Program)


                   2. โปรแกรมการออกแบบ (Design Program)


                   3. โปรแกรมแผนภูมิและกราฟ (Chart/Graph)

                   ตัวอย่าง โปรแกรมสำเร็จรูปเพื่อใช้งาน [[57633]] โปรแกรม Visio ประวัติการพัฒนาโปรแกรม : โปรแกรม Visio เป็นโปรแกรมเขียนแบบชนิดหนึ่งมีลักษณะเป็นสองมิติ เป็นภาพลายเส้น ซึ่งเป็นการจำลองการทำงานจากโต๊ะเขียนแบบ ฮาร์ดแวร์ที่ต้องการ :เครื่องพีซี (PC) ทั่วไป ระบบปฏิบัติการที่ใช้ : Microsoft Windows 3.11 หรือ Microsoft Windows 95/98 งานที่เหมาะสม :การสร้างงานกราฟิกในงานธุรกิจต่าง ๆ งานสร้างแผนผังแบบแปลน สัญลักษณ์ในงานเทคนิคต่าง ๆ [[57506]] โปรแกรม PageMaker ประวัติการพัฒนาโปรแกรม : โปรแกรม PageMaker ในปัจจุบันเป็นของบริษัท Adobe นิยมใช้กับเครื่องแมคอินทอซ แต่ต่อมามีการพัฒนาให้สามารถใช้ในระบบวินโดว์ของเครื่องพีซีทั่วไปได้ด้วย ฮาร์ดแวร์ที่ต้องการ : เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มี CPU 486 ขึ้นไป หน่วยความจำ 8 MB สำหรับ Windows 95 หรืออย่างน้อย 16 MB สำหรับ Windows 3.11 ฮาร์ดดิสก์อย่างน้อย 100 MB จอภาพสี ชนิด VGA หรือ Super VGA คีย์บอร์ดรุ่น 101 หรือมากกว่า เมาส์ เครื่องอ่านซีดีรอมและเครื่องพิมพ์ ระบบปฏิบัติการที่ใช้ : Microsoft Windows ลักษณะพิเศษของโปรแกรม : หลักการทำงานของโปรแกรมจัดอยู่ในประเภทที่เรียกว่า Desktop Publishing เป็นการนำข้อความที่เตรียมไว้กับรูปภาพที่มีในเครื่องคอมพิวเตอร์ มาจัดแต่งประกอบกันให้มีรูปแบบใหม่ เพื่อเป็นต้นฉบับก่อนนำไปถ่ายเป็นฟิล์มส่งเข้าโรงพิมพ์ และยังมีความสามารถเป็นเวิร์ดโปรเซสเซอร์ (Word Processor) คือ สามารถรับข้อความได้โดยตรง จัดบรรทัด ระยะห่างตัวอักษร จัดย่อหน้าได้อัตโนมัติ งานที่เหมาะสม : งานจัดอาร์ตเวิร์ก (Artwork) [[57509]] โปรแกรม Adobe Photoshop ฮาร์ดแวร์ที่ต้องการ : เครื่องคอมพิวเตอร์ CPU ระดับ Pentium หรือสูงกว่า หน่วยความจำ 32 MB ขึ้นไปมีเนื้อที่ว่างในฮาร์ดดิสก์ 80 MB ขึ้นไปการ์ดแสดงผลจอภาพที่ 256 สี หรือ 8 บิต (แนะนำเป็น 24 บิต หรือมากกว่า) CD-ROM, Sound Card เมาส์ เครื่องอ่านซีดีรอมและเครื่องพิมพ์ ระบบปฏิบัติการที่ใช้ : Microsoft Windows 95 หรือ Windows NT 4 หรือใหม่กว่า ลักษณะพิเศษของโปรแกรม : เป็นโปรแกรมที่ใช้สำหรับจัดการภาพ หรืองานกราฟิกที่ ต้องการความละเอียดสูง และเป็นโปรแกรมที่นิยมมากที่สุด และถือว่าเป็นโปรแกรมแบบ Universal File Format คือ สามารถเปิดไฟล์รูปภาพได้หลากหลาย และสามารถ Save ไฟล์ได้หลายรูปแบบ เช่น JPEG, TIFF, DNG, BMP, GIF, PICT เป็นต้น และยังสนับสนุนระบบการจัดการด้านความถูกต้องของสี สามารถแก้ไขสีของรูปภาพให้เป็นสีต่าง ๆ ตามความต้องการ แก้ไขความคมชัดของภาพให้ชัดขึ้นหรือขุ่นมัวได้ งานที่เหมาะสม : งานการจัดภาพ การตกแต่งภาพ หรืองานกราฟิกที่ต้องการความละเอียดสูง [[57546]] โปรแกรม Adobe Illustrator ฮาร์ดแวร์ที่ต้องการ : ระบบวินโดว์ Microsoft Windows 95 หรือ Windows NT 4 หรือใหม่กว่า CPU ระดับ Pentium ขึ้นไปหรือใหม่กว่าCPU ระดับ Pentium ขึ้นไปหรือสูงกว่าหน่วยความจำ 32 MB ขึ้นไป CD-ROM Drive การ์ด Video ที่สนับสนุนจอภาพความละเอียด 800 x 600 ระบบแมคอินทอซ หน่วยประมวลผลกลาง PowerPC ระบบปฏิบัติการ Apple System Software 7.5 หรือสูงกว่า หน่วยความจำ 32 MB ขึ้นไป เนื้อที่ว่างในฮาร์ดดิสก์อย่างน้อย 50 MB CD-ROM Drive จอภาพความละเอียด 800 x 600 หรือสูงกว่า ลักษณะพิเศษของโปรแกรม : สามารถอ่านแฟ้ม DXF ได้ค่าอย่างถูกต้องที่สุด สามารถ Save ข้อมูลเป็นแฟ้ม PDF ได้ สามารถ Save งานบน Windows NT(R) ในรูปแบบของ NTFS ได้เครื่องมือ Brush Libraries & Templates สามารถนำมาใช้ใน Windows NT ได้ สามารถนำภาพ TIFF ขนาด 1 บิต มาจัดเพื่อให้พิมพ์ทับได้ค่าอย่างถูกต้องมี The Aveza MAPublisher 3.0 Plug-in สนับสนุนในการทำงานแฟ้มภาพสีที่มี CMYK ในโปรแกรม Photoshop ไม่เปลี่ยนแปลง